โครงทรัส (Truss) หรือโครงถัก คืออะไร เอาไปใช้ในงานใดได้บ้าง?

ในวงการก่อสร้าง และงานโครงสร้าง “โครงทรัส” หรือ “โครงถัก” เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากในการสร้างความแข็งแรงและความปลอดภัยให้กับอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาด โครงทรัสสามารถรองรับน้ำหนักได้มากแม้ว่าจะมีน้ำหนักเบา และยังสามารถสร้างพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องมีเสารองรับตรงกลาง วันนี้ COTCO METAL WORKS จะพาไปทำความรู้จักกับโครงทรัสให้มากขึ้น ทั้งความหมาย ประเภท และการนำไปใช้งานที่หลากหลาย เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถเลือกใช้โครงทรัสได้อย่างเหมาะสมกับงานของคุณ

โครงทรัส (Truss) หรือโครงถักคืออะไร

 

 

โครงถัก หรือที่หลายคนเรียกว่า โครงทรัส (Truss) หรือโครงข้อหมุน เป็นโครงสร้างที่มีน้ำหนักเบา แต่สามารถรับน้ำหนักได้มาก และมีช่วงวางพาดได้กว้าง จึงช่วยประหยัดโครงสร้างได้มากพอสมควร โครงถักเกิดจากชิ้นส่วนหลายชิ้นประกอบกันเป็นรูปทรงเรขาคณิต (ส่วนใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม) จนกลายเป็นโครงสร้างที่พาดระหว่างจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ โครงถัก 10 เมตร ในงานโครงถักหลังคาที่พาดระหว่างช่วงเสา 2 ต้น หรือ โครงถักสะพานที่พาดระหว่าง 2 ฝั่งแม่น้ำ เป็นต้น นอกจากคุณสมบัติด้านการรับน้ำหนักและความแข็งแรงแล้ว โครงทรัสยังสามารถออกแบบให้มีรูปทรงที่สวยงามหลากหลายได้ตามความต้องการของงานออกแบบอีกด้วย

วัสดุที่นิยมใช้ในการทำโครงถัก

โดยทั่วไปโครงถักจะทำจากเหล็กและไม้เนื้อแข็ง แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่นิยมใช้เหล็กในการทำโครงถักมากกว่า แม้ว่าเหล็กจะมีราคาสูงกว่าไม้ แต่ด้วยคุณสมบัติ หรือศักยภาพที่หลากหลายกว่า ทำให้เหล็กเป็นวัสดุยอดนิยมในการทำโครงถัก

โครงถักที่ทำจากเหล็กนั้นจะมีความเหนียว สามารถคงทนต่อแรงกระทำในระนาบต่างๆ ได้ดี ติดตั้งได้รวดเร็ว และมีคุณสมบัติในการต้านทานภัยธรรมชาติได้ดี เนื่องจากมีความยืดหยุ่นและรับการบิดได้มากกว่าโครงถักที่ทำจากไม้ นอกจากนี้ โครงถักเหล็กยังสามารถใช้ในโครงสร้างช่วงพาดกว้าง หรือโครงสร้างช่วงยาวในอาคารขนาดกลางถึงขนาดใหญ่พิเศษได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่โครงถักไม้มีข้อจำกัด และไม่สามารถทำได้

ส่วนประกอบของโครงถัก

 

 
 

โครงสร้างที่เป็นโครงถัก จะประกอบด้วยชิ้นส่วนหลายชิ้นมารวมกันให้ออกมาเป็นโครงถักรูปแบบต่างๆ เช่น โครงถัก 10 เมตร เป็นต้น ซึ่งสามารถกำหนดชื่อเรียกส่วนประกอบต่างๆ ได้ 4 ชนิดดังนี้

  • จันทัน (Upper Chord) : เป็นชิ้นส่วนที่อยู่ด้านบนของโครงทรัส มีหน้าที่รับแรงอัดและถ่ายเทแรงไปยังจุดรองรับ มักมีลักษณะเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้งตามรูปแบบของโครงทรัส
  • ขื่อ (Lower Chord) : เป็นชิ้นส่วนที่อยู่ด้านล่างของโครงทรัส มีหน้าที่รับแรงดึงและช่วยให้โครงสร้างมีความมั่นคง โดยทั่วไปจะวางในแนวราบและขนานกับพื้น
  • ค้ำยันในแนวเอียง (Diagonal Web) : เป็นชิ้นส่วนที่เชื่อมระหว่างจันทันและขื่อในแนวเอียง มีหน้าที่ช่วยกระจายแรงและถ่ายเทแรงระหว่างจันทันและขื่อ ส่วนใหญ่จะรับแรงดึง
  • ค้ำยันในแนวดิ่ง (Vertical Web) : เป็นชิ้นส่วนที่เชื่อมระหว่างจันทันและขื่อในแนวตั้งฉาก มีหน้าที่เสริมความแข็งแรงและรักษาระยะห่างระหว่างจันทันและขื่อ ส่วนใหญ่จะรับแรงอัด

โครงทรัสมีกี่ประเภท

 

โครงทรัสมีหลากหลายรูปแบบที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นงานโครงสร้างหลังคา งานสะพาน หรืองานตกแต่ง โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะตัวและเหมาะกับการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป มาดูกันว่ามีรูปแบบโครงทรัสใดบ้างที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน

 

1. โครงทรัสแบบโฮว์ (Howe Truss)

โครงทรัสแบบโฮว์เป็นหนึ่งในรูปแบบโครงทรัสที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มีลักษณะเด่นคือ จันทันวางเอียงเป็นจั่วสองข้างเท่ากัน ขื่ออยู่ในแนวราบ มีท่อนยึดดิ่งในระยะห่างเท่ากัน และมีท่อนยึดทแยงเอียงลงเข้าหากึ่งกลางช่วง

โครงทรัสแบบโฮว์มีความแข็งแรงสูง สามารถรับน้ำหนักได้ดี และเหมาะสำหรับงานโครงสร้างที่ต้องการช่วงพาดยาว เช่น สะพาน โรงจอดรถ อาคารโรงงาน หรือโครงหลังคาขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังสามารถปรับขนาดและความสูงได้ตามความเหมาะสมของงาน

 

2. โครงทรัสแบบโฮว์ยกระดับ (Howe Pitch)

โครงทรัสแบบโฮว์ยกระดับเป็นการพัฒนาต่อยอดจากโครงทรัสแบบโฮว์ โดยมีลักษณะเด่นคือ จันทันทั้ง 2 ข้างถูกยกระดับขึ้นไปอีกโดยไม่มีการเชื่อมติดกับขื่อโดยตรง แต่ใช้การเชื่อมผ่านจุดค้ำยันแทน รูปแบบนี้นิยมใช้ในการทำโครงถักหลังคาช่วงยาว เช่น ในโรงงานหรือโกดังเก็บสินค้าที่ต้องการพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ การยกระดับจันทันช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างด้านบนและทำให้สามารถรับน้ำหนักได้มากขึ้น

 

3. โครงทรัสแบบดัดโค้ง (Curved Truss)

โครงทรัสแบบดัดโค้งเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถสร้างความสวยงามและเพิ่มมิติให้กับงานออกแบบได้อย่างดี ลักษณะเด่นคือ จันทันหรือชิ้นส่วนอื่นๆ มีลักษณะโค้งเข้าหากัน ทำให้ได้รูปทรงที่นุ่มนวลและสามารถตกแต่งได้หลากหลาย

รูปแบบนี้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความสวยงามเป็นพิเศษ เช่น หลังคาสนามกีฬาขนาดใหญ่ หลังคาศูนย์แสดงสินค้า หรืออาคารสถาปัตยกรรมที่ต้องการความโดดเด่น นอกจากนี้ ยังเหมาะกับการใช้แผ่นเหล็กรีดร้อนมุงหลังคาซึ่งสามารถดัดโค้งตามรูปแบบของโครงทรัสได้

 

4. โครงทรัสแบบคอร์ดเอียงขนาน (Parallel Chord Truss)

โครงทรัสแบบคอร์ดเอียงขนานมีลักษณะเด่นคือ ขื่อจะเอียงขนานกับจันทัน ทำให้มีช่องว่างความสูงมากขึ้น และสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ โครงถักแนวเอียง (Sloping Flat Truss) และ โครงถักแนวราบ (Flat Truss)

รูปแบบนี้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความสูงเพิ่มขึ้น หรือต้องการให้มีพื้นที่ใช้สอยด้านบนมากขึ้น เช่น อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน หรือศูนย์การค้าที่ต้องการติดตั้งระบบท่อ หรือระบบไฟฟ้าภายในช่องว่างระหว่างจันทันและขื่อ

 

5. โครงทรัสแบบเอียงต่างมุม (Dual Pitch)

โครงทรัสแบบเอียงต่างมุมมีลักษณะเด่นคือ จันทันมีมุมเอียงที่แตกต่างกันระหว่างด้านหน้าและด้านหลัง โดยมักจะเอียงชันทางด้านหน้าและลาดเทลงยาวทางด้านหลัง

รูปแบบนี้นิยมใช้ในอาคารตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์ที่ต้องการระบายน้ำฝนได้ดี และต้องการให้ด้านหน้าของอาคารมีความโดดเด่น นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาด้านที่เอียงลาด และรับแสงแดดได้ดี

 

โครงถักเหมาะกับการนำไปใช้งานแบบใดบ้าง

ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งด้านความแข็งแรง น้ำหนักเบา และความสามารถในการรับน้ำหนักได้มาก โครงถักจึงถูกนำไปประยุกต์ใช้ในงานหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น

 

  • งานโครงสร้างอาคาร : โครงถักมักถูกนำมาใช้ในการทำโครงหลังคาขนาดใหญ่ เช่น โรงงาน โกดังสินค้า หอประชุม หรือสนามกีฬา ที่ต้องการพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่โดยไม่มีเสารองรับตรงกลาง นอกจากนี้ ยังนิยมใช้ในงานโครงสร้างสะพาน ทั้งสะพานรถยนต์และสะพานคนเดิน เนื่องจากสามารถรับน้ำหนักได้ดีและมีความทนทานสูง
  • งานสถาปัตยกรรม : โครงถักถูกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์รูปทรงที่มีเอกลักษณ์และสวยงาม เช่น หลังคาโดมของสนามกีฬา หลังคาของศูนย์แสดงสินค้า หรืออาคารสาธารณะที่ต้องการความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม โดยใช้โครงถักเป็นโครงสร้างหลักที่สามารถมองเห็นและเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่ง
  • งานชั่วคราว : โครงถักยังถูกนำไปใช้ในงานชั่วคราว เช่น เวทีการแสดง นิทรรศการ หรืองานอีเวนต์ต่างๆ เนื่องจากสามารถติดตั้งและถอดประกอบได้ง่าย ทำให้สะดวกต่อการขนย้ายและนำกลับมาใช้ใหม่

ประโยชน์ของโครงทรัส 10 เมตร

โครงถัก 10 เมตรเป็นโครงสร้างโครงถักชั่วคราวที่สามารถนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดกิจกรรมแบบชั่วคราวที่ต้องการพื้นที่ช่วงเพดานที่สูง เช่น เวทีการแสดง งานแสดงสินค้า งานนิทรรศการ หรือพื้นที่จัดกิจกรรมกลางแจ้ง โดยสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมเช่น ระบบแสง ระบบเสียง หรือป้ายโฆษณาได้อย่างสะดวก 

ด้วยคุณสมบัติที่มีน้ำหนักเบา โครงถัก 10 เมตรจึงสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกและประกอบขึ้นได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ราคาของโครงถัก 10 เมตรยังไม่สูงเมื่อเทียบกับงานโครงสร้างประเภทอื่นๆ ในการใช้งานลักษณะเดียวกัน จึงทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับงานชั่วคราว หรืองานที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบ

 

สั่งโครงทรัสคุณภาพดีผลิตด้วยเหล็กกล้ากับ COTCO METAL WORKS

การเลือกใช้โครงทรัสที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้โครงสร้างของคุณมีความแข็งแรง ปลอดภัย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน หากคุณกำลังมองหาโครงทรัสคุณภาพดีสำหรับงานโครงสร้างของคุณ ให้ COTCO METAL WORKS เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เราเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กชั้นนำของประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตโครงทรัสคุณภาพสูงด้วยเหล็กกล้าที่ได้มาตรฐาน มั่นใจด้วยประสบการณ์กว่า 35 ปีในอุตสาหกรรมเหล็ก รับรองว่า คุณจะได้รับโครงทรัสที่มีความแข็งแรง และได้มาตรฐานอย่างแน่นอน หากสนใจ สามารถติดต่อสอบถามได้เลยที่เบอร์โทร. 02-285-2700 หรือ Line OA: @cotcometalworks เพื่อรับคำปรึกษาและใบเสนอราคาฟรี ทีมงานมืออาชีพพร้อมให้บริการและตอบสนองความต้องการของคุณอย่างเต็มที่